ADVANCESEARCH

Cyberbully คืออะไร? ส่งผลอย่างไร? และเราควรรับมือกับมันอย่างไรดี?

15.07.2563
80,465
Share

 

            ในยุคดิจิทัลที่อินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตของคนเรา กิจกรรมหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นได้เฉพาะบนโลกแห่งความเป็นจริงก็เคลื่อนตัวไปเกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ด้วย หนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์และกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของคนยุคนี้ ก็คือ การกลั่นแกล้งระรานกัน

“การระรานทางไซเบอร์” หรือที่เรารู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “การ Cyberbully” คือ การกลั่นแกล้ง คุกคาม หรือระรานผู้อื่นโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ผ่านโซเชียลมีเดีย การส่งข้อความ การเล่นเกม และโทรศัพท์มือถือ การ Cyberbully เป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว ยั่วโมโห หรือสร้างความอับอายให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น

  • การกระจายคำโกหกหรือโพสต์รูปที่น่าอับอายของคนบางคนลงบนโซเชียลมีเดีย
  • ส่งข้อความทำร้ายจิตใจหรือข่มขู่ไปหาคนที่เป็นเป้าหมาย
  • แกล้งปลอมเป็นเป้าหมายส่งข้อความที่หยาบคายร้ายกาจไปหาคนอื่น

จากการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพประเด็นการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ ด้วยการจัดสนทนากลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 50 คน ในช่วงเดือน ส.ค. 2562  พบว่า การกลั่นแกล้งทางออนไลน์มีอยู่ทั้งหมด 7 รูปแบบ ได้แก่

  1. การก่อกวน ข่มขู่คุกคาม
  2. การให้ร้ายใส่ความ การแกล้งแหย่
  3. การเผยแพร่ความลับ
  4. การกีดกันออกจากกลุ่ม
  5. การแอบอ้างชื่อ การสร้างบัญชีปลอม
  6. การขโมยอัตลักษณ์
  7. การล่อลวง

เมื่อการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ ผู้ถูกกลั่นแกล้งอาจรู้สึกเหมือนถูกโจมตีอยู่ในทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งในบ้านของพวกเขาเอง ทำให้รู้สึกว่าไม่มีทางหนีจากการกลั่นแกล้งนั้นได้เลย มันจึงสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำได้เป็นระยะเวลานานในหลายทิศทาง ทั้ง...

  • ทางจิตใจ เช่น ทำให้รู้สึกหงุดหงิด โมโห โง่เขลา และอับอาย
  • ทางอารมณ์ เช่น รู้สึกละอายใจ สูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยรัก
  • ทางกาย เช่น เหน็ดเหนื่อยจากการอดนอน ปวดท้อง หรือปวดหัว

ความรู้สึกของการถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรือรบกวน อาจส่งผลให้ผู้คนไม่กล้าพูดถึงปัญหาหรือพยายามหาทางแก้ปัญหาเหล่านั้น ซึ่งในรายที่รุนแรงอาจถึงกับฆ่าตัวตายเลยก็ได้

องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากยูนิเซฟ และผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการระรานทางไซเบอร์และเด็กระหว่างประเทศ (International cyberbullying and child protection experts) พร้อมจับมือกับเฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) และทวิตเตอร์ (Twitter) เพื่อสำรวจปัญหาการถูก Cyberbully ของเด็ก ๆ ทั่วโลก และให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับการกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ พวกเขาพบว่า บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เพื่อนทำกับพวกเขาอยู่คือการแกล้งกันเล่น ๆ หรือ การพยายามทำร้ายพวกเขาอยู่กันแน่โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ เพราะพวกเขามักหยอกกันแรง ๆ แล้วหัวเราะพร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่า “แค่ล้อเล่นน่า” หรือ “อย่าคิดมากน่า” เอาไว้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญจึงให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า หากเมื่อไรเราเริ่มรู้สึกว่าการล้อเล่นนั้นเลยเถิดไปไกลถึงขนาดที่เริ่มทำร้ายจิตใจเราแล้ว นั่นอาจเป็นการ Cyberbully

องค์การ UNICEF พร้อมกับ Facebook, Instagram และ Twitter ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า เมื่อไรก็ตามที่เราถูก Cyberbully “กุญแจสำคัญที่จะหยุดการกลั่นแกล้งนั้นได้ ก็คือการชี้ชัดออกไปว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นคือการกลั่นแกล้งกัน และแจ้งไปยังผู้ใหญ่ที่ไว้ใจหรือผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งรายงาน (report) ไปยังแพลมฟอร์มโซเชียลมีเดียให้หยุดการกระทำดังกล่าว” กล่าวคือ สำหรับใครก็ตามที่กำลังตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ สิ่งแรกที่ควรทำคือการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง คนในครอบครัวที่สนิท หรือครูที่โรงเรียน แต่หากไม่สะดวกใจที่จะบอกกับคนที่รู้จักก็ควรติดต่อไปยังหน่วยงานมืออาชีพที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ และหากการกลั่นแกล้งนี้เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ก็ยังสามารถพิจารณาการบล็อก (block) และรายงาน (report) ผู้กลั่นแกล้งเพื่อให้บริษัทโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในการใช้กฏเพื่อป้องกันการคุกคามบนแพลตฟอร์ม (platform) เหล่านั้นให้ได้

ในทำนองเดียวกัน สสส. ก็ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือการ Cyberbully ไว้ด้วยหลักการดังนี้

  1. STOP หยุดระรานกลับด้วยวิธีการเดียวกัน หยุดตอบโต้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำซ้ำหรือเพิ่มความรุนแรงของเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น
  2. BLOCK ปิดกั้นผู้ที่ระราน ไม่ให้เขาสามารถติดต่อ โพสต์ หรือระรานเราได้อีก
  3. TELL บอกพ่อแม่ ครู หรือบุคคลที่ไว้ใจ เพื่อขอความช่วยเหลือ หากเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือถูกข่มขู่คุกคาม ให้เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้กระทำและเหตุการณ์ระรานรังแกไปแจ้งเจ้าหน้าที่
  4. REMOVE ลบภาพหรือข้อความระรานรังแกออกทันที โดยอาจติดต่อผู้ดูแลระบบหากเป็นพื้นที่สาธารณะบนโลกออนไลน์
  5. BE STRONG เข้มแข็ง อดทน ยิ้มสู้ อย่าไปให้คุณค่ากับคนหรือคำพูดที่ทำร้ายเรา ควรใช้เป็นแรงผลักดันให้เราดีขึ้น ก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้ถูกรังแกเท่านั้นที่ต้องรับมือกับการระรานทางไซเบอร์ตามลำพัง พ่อแม่ ครู และผู้ให้บริการเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียก็ยังมีบทบาทในการช่วยป้องกันหรือรับมือกับการรังแกทางไซเบอร์ร่วมกับพวกเขาด้วย ดังนี้

 

บทบาทของพ่อแม่

  • ใจเย็น และรับฟังปัญหาของลูกด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ บอกลูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา พร้อมบอกให้เขาเข้มแข็ง อดทน และไม่ให้ความสนใจมาก เพราะจะยิ่งทำให้ผู้แกล้งสนุกและทำต่อไป
  • ช่วยลูกแก้ไขปัญหา เช่น บล็อกเพื่อนที่แกล้ง หรือลบข้อความหรือภาพที่โดนตัดต่อ
  • ขอความช่วยเหลือจากครูหรือเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
  • ก่อนหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูก ต้องสอนให้เข้าใจถึงภัยอันตรายบนโลกไซเบอร์ เช่น การรับเพื่อนใหม่ การพูดคุยกับเพื่อน การโพสต์ข้อมูลหรือภาพส่วนตัวมากเกินไป
  • สอนให้ลูกรู้จักการตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ใน Facebook สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ใครมาโพสต์อะไรบนพื้นที่ของเรา หรือจะให้ใครเห็นโพสต์ของเราได้บ้าง

 

บทบาทของครู

  • ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาการข่มเหงรังแกกันของเด็ก ควรแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยการมีส่วนร่วมของเด็กและครอบครัว
  • ครูควรสอนทักษะรู้เท่าทันสื่อให้เด็ก ๆ เลือกเชื่อ เลือกแชร์ข่าวสารข้อมูลที่รับมา สอนให้เขาฉุกคิดว่าหากไม่ใช่เรื่องจริงแล้วส่งต่อกันไปอาจเป็นการให้ร้ายหรือละเมิดซ้ำเหยื่อได้

 

บทบาทของผู้ให้บริการ

  • ควรมีกฎกติกาเพื่อต่อต้านการกลั่นแกล้งรังแกกันบนพื้นที่ให้บริการของตน โดยประกาศห้ามอย่างชัดเจน และมีมาตรการดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืน
  • ควรมีปุ่มรับแจ้งหรือรายงานกรณีถูกกลั่นแกล้งรังแกเพื่อให้เด็กขอความช่วยเหลือในการลบเนื้อหาที่ทำให้อับอายหรือเสื่อมเสีย
  • จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ช่วยเหลือเยียวยาจิตใจและความเสียหายของเหยื่อ พร้อมประสานส่งต่อไปยังสถานพยาบาล และดำเนินการกับผู้กลั่นแกล้ง รวมถึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหรือหน่วยงานอื่น ๆ หากจำเป็น

 

แม้การ Cyberbully จะสามารถสร้างบาดแผลที่ยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายได้ แต่ด้วยกำลังใจที่แข็งแกร่งของตนเอง และความช่วยเหลือของทุกฝ่ายรอบข้าง ผู้ถูกรังแกจะสามารถเอาชนะปัญหา และกอบกู้ความกล้าหาญและความมั่นใจในการใช้ชีวิตกลับมาใหม่ได้เสมอ การบอกออกไปว่าสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่นั้นคือการระรานการระรานทางไซเบอร์ มิได้เป็นเพียงแค่การร้องขอความช่วยเหลือ และความพยายามในการหยุดยั้งการคุกคามนั้นเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสื่อสารออกไปให้ทุกคนรู้โดยทั่วกันด้วย ว่าไม่มีใครในโลกนี้สมควรถูกคุกคาม และทุกคนล้วนสมควรได้รับการให้เกียรติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะบนโลกแห่งความเป็นจริง หรือบนโลกไซเบอร์

Related

Most View

Recommend